แผลเลือดไหล เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนเลือดออกตามบาดแผล ร่างกายมนุษย์ที่จะต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมเซลล์บ้าง ขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของแผลและการหายเร็วแค่ไหน แต่โดยทั่วไปลำดับการหายของแผล คือ เมื่อเกิดบาดแผล หลอดเลือดจะฉีกขาด เลือดไหลเวียนได้ ร่างกายจะทำปฏิกิริยากับมันซึ่งนำไปสู่กระบวนการห้ามเลือดและการก่อตัวของลิ่มเลือด ซึ่งเรียกว่าการแข็งตัวของเลือดและการรวมตัวของเกล็ดเลือด
กระบวนการอักเสบห้ามเลือดจะเริ่มขึ้นภายใน 10-30 นาทีหลังจากได้รับบาดเจ็บ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน บริเวณบาดแผล เซลล์เม็ดเลือดขาวเป็นเซลล์สำคัญที่ช่วยสมานแผลให้เร็วขึ้นและหลั่งโกรทแฟคเตอร์เพื่อกระตุ้นการเพิ่มจำนวนเซลล์ การแพร่กระจายหากไม่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน แผลจะหายเองตามธรรมชาติในเวลาประมาณ 3 วัน
ต่อจากนั้น เซลล์จะผลิตเนื้อเยื่อแกรนูล คอลลาเจน และไฟโบรเนกติน การหดตัวของบาดแผลเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการนี้ การรักษาบาดแผลจะเริ่มขึ้นประมาณ 20 วันหลังจากเกิดการบาดเจ็บและอาจดำเนินต่อไปอีกหลายปี จะทำให้แผลแข็งแรงขึ้นระวังอย่าให้แผลเปียกหรือโดนน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้
หากผ้าพันแผลเปียกหรือสกปรก ควรทำความสะอาดแผลทันที หากเป็น แผลเลือดไหล ที่แขน ขา มือ เท้า ควรยกอวัยวะนั้นขึ้น เหนือระดับหัวใจเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ห้ามสัมผัส แต้ม หรือเกาบาดแผลด้วยมือ รักษาแผลให้สะอาดเหมือนส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล หากมีไข้ ร่วมกับมีอาการปวด บวม แดงมากขึ้น
คุณควรไปพบแพทย์และตรวจสอบอีกครั้ง สามารถมาก่อนนัดได้หากมีนัดฉีดวัคซีนบาดทะยักหรือโรคพิษสุนัขบ้า นัดทุกครั้ง เพื่อประโยชน์ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้เต็มที่ ถ้าไม่สะดวกมารักษาที่โรงพยาบาลแรก สามารถฉีดวัคซีนได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ห้ามใช้สมุนไพรหรือแป้งทาแผล เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
ถ้าเป็นยาปฏิชีวนะต้องกินต่อเนื่องจนหมด พักผ่อนให้เพียงพอ ลดการออกกำลังกายที่อาจทำให้เกิดการอักเสบ เลิกสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้แผลหายช้า ทำตามคำแนะนำของแพทย์ในการทำแผล รับประทานอาหารที่ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นเช่น เนื้อสัตว์ พืชตระกูลถั่ว ไข่ขาว นม ผัก ผลไม้รสเปรี้ยว หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง โสม เครื่องดื่มชูกำลัง คอลลาเจน และอาหารอื่นๆ ที่ทำให้เลือดออกได้ 7-14 วันหลังการเย็บแผล
ขึ้นอยู่กับส่วนที่บาดเจ็บ หากเป็นแผลบนใบหน้า แพทย์อาจตัดไหมภายใน 5 วันหลังจากเย็บแผล อาการปวดท้อง เกิดได้จากหลายสาเหตุ โรค และอวัยวะ ในการวินิจฉัยเบื้องต้นแพทย์จะสอบถามและตรวจดูอาการปวดท้องของผู้ป่วย ใช้เพื่อคาดการณ์โรคที่เป็นไปได้ในขั้นแรก และทำการตรวจเพิ่มเติมตามความจำเป็น สรุปอาการ และกำหนดแนวทางการรักษา โดยปกติหากผู้ป่วยมีอาการปวดท้องน้อย
เช่น โรคระบบทางเดินอาหารทั่วไป อาการต่างๆ จะดีขึ้นเองภายใน 2-3 วัน หากอาการปวดต่อเนื่องไม่ดีขึ้นหรือปวดรุนแรงขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์ทันที อาจจำเป็นต้องมีการตรวจหรือการทดสอบในห้องปฏิบัติการเพื่อทำการวินิจฉัย และรักษาที่เกิดเหตุอย่างเร่งด่วนก่อนที่อาการจะลุกลามร้ายแรงควรรับประทานยาตามแพทย์สั่ง หลีกเลี่ยงการซื้อยามารับประทานเอง
งดรับประทานยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และยาต้านการอักเสบ กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ตรงเวลาและครบ 3 มื้อ รับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารมัน และของทอด อาหารหมักดอง ชา กาแฟ น้ำอัดลม นม เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทันทีและเข้านอน
ควรกินผักให้ห่างอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ผลไม้ที่มีกากใยสูงและดื่มน้ำมากๆ เพื่อสังเกตอาการ หากรู้สึกว่ามีความผิดปกติเหล่านี้ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและหลังจากกลับบ้านแล้วผู้ป่วยควรเฝ้าดูอาการต่อไป เพราะส่วนใหญ่ถ้าคุณไม่ป่วยหนัก อาการต่างๆ ของคุณก็ควรจะดีขึ้นเรื่อยๆ หากมีอาการเหล่านี้ควรกลับไปพบแพทย์โดยเร็ว อาการปวดแย่ลง กินยาที่แพทย์สั่งแล้วอาการไม่ทุเลาลง
โดยเฉพาะจุดปวดแปล๊บหรือปวดเฉพาะจุดที่เคลื่อนจากกลางท้องไปทางขวาล่าง อาการปวดจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปวดไปเรื่อยๆ มีไข้หรือมีไข้สูง อาเจียนเป็นเลือดหรืออุจจาระสีดำปนเลือดหรือรู้สึกตัววิงเวียนคุณอาจเป็นลม คลื่นไส้ อาเจียนหลายครั้ง ถ่ายไม่ออก ไม่ผายลม เบื่ออาหาร เป็นต้น ผู้ที่ขาดน้ำจากการท้องเสียหรืออาเจียนซ้ำๆ อาจมีอาการขาดน้ำ เช่น กระหายน้ำ ปากแห้ง และปัสสาวะน้อยลง ปัสสาวะสีเข้ม ตาโหล หายใจถี่ ง่วงซึม สับสน มือเท้าเย็น
บทความที่น่าสนใจ : ของเล่น อธิบายและศึกษาว่าทำไมแมวชอบเล่นของเล่นที่เหมือนๆกัน
